ในสังคมไทย มีเรื่องราวของผู้หลอกลวงที่อ้างเรื่องศรัทธาและความเชื่อ เช่น “น้ำพุศักดิ์สิทธิ์” “วัตถุศักดิ์สิทธิ์” “เบญจภาคีพระเครื่อง” หรือสิ่งที่เชื่อว่าเหนือธรรมชาติเชื่อมโยงกับความศรัทธา ซึ่งมีผลทำให้ผู้คนหลงเชื่อ มอบเงินทอง หรือใช้สิ่งนั้นรักษาโรค โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อผลไม่ได้เป็นตามที่อ้าง ก็อาจถือเป็นการหลอกลวงและอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย
รูปแบบการหลอกลวง ซึ่งผู้หลอกลวงอาจใช้วิธีต่าง ๆ ตามสถานการณ์ อาศัยความเชื่อ ศรัทธา และความหวังของผู้คน ดังนั้น การรับรู้และระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
- อ้างว่า “มีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์” หรือ “มีบ่อน้ำ/ลำคลอง น้ำพุขึ้นเอง” โดยอ้างพลังเหนือธรรมชาติ, เทวดา, เจ้าแม่, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เชื่อว่าน้ำนี้รักษาโรคได้
- อ้างว่า “มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์” เช่น พระเครื่อง เบญจภาคี ลาภลอย หรือ “หินศักดิ์สิทธิ์” ที่มีพลังวิเศษ กล่อมให้ผู้คนซื้อ หรือร่วมบริจาค
- ใช้ความศรัทธาเข้ามาเป็นเครื่องมือ เช่น งานพิธี สวดมนต์ ให้ผู้คนมาร่วม แล้วใช้โอกาสให้บริจาค–ซื้อของศักดิ์สิทธิ์
- ใช้ช่องทางออนไลน์/โซเชียลมีเดีย โฆษณาว่า “ของมีจำกัด” “ขอแล้วได้” “หายาก” เพื่อเร่งให้คนรีบตัดสินใจ
- เมื่อผู้หลงเชื่อให้เงิน/ซื้อของ แล้ว ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่อ้าง (เช่น ไม่หายจากโรค) ผู้หลอกลวงก็อาจหายไปหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ

ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2502
จำเลยหลอกลวงว่าน้ำที่พุขึ้นนั้นเจ้าแม่สำโรงบันดาลให้มีขึ้นและว่าน้ำพุนั้นศักดิ์สิทธิใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ประชาชนคนดูหลงเชื่อ ได้เอาน้ำนั้นไปใช้กินและทารักษาโรค แต่ไม่หายเพราะเป็นน้ำธรรมดาในลำคลองนั้นเอง และได้ให้เงินแก่จำเลยรวมประมาณหมื่นบาทโดยหลงเชื่อว่าน้ำนั้นเป็นของเจ้าแม่สำโรงรักษาโรคได้ แต่ความจริงนั้น จำเลยที่ 1 เอาเท้าพุ้ยน้ำในคลองทำให้น้ำผุดพุขึ้นมาเอง ไม่เกี่ยวแก่เจ้าแม่อะไรเลย จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดด้วย โดยอ้างว่าน้ำพุนั้นเจ้าแม่สำโรงบันดาลให้เกิดขึ้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้ง และแสดงข้อความเท็จ ถือว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 การที่จำเลยได้เงินมาเพราะหลอกลวงเขาว่า น้ำพุนั้นเป็นน้ำพุที่เจ้าแม่สำโรงบันดาลให้เกิดขึ้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นยารักษาโรคได้ ประชาชนหลงเชื่อจึงให้เงินแก่จำเลย ย่อมถือได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการทุจริตตามกฎหมายแล้ว
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 341 ตามประมวลกฎหมายอาญา หมายถึง การฉ้อโกง ซึ่งเป็นการกระทำโดยทุจริตด้วยการหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วยการพูดเท็จหรือปกปิดความจริง เพื่อให้ได้ทรัพย์สินจากผู้อื่น หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงกระทำเอกสารสิทธิ ผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงจะต้องโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
องค์ประกอบของการฉ้อโกงตามมาตรา 341:
- เจตนาทุจริต: ผู้กระทำต้องมีเจตนาที่จะหลอกลวงผู้อื่นเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบตั้งแต่แรก
- การหลอกลวง: ผู้กระทำต้องใช้อุบายลวงให้ผู้ถูกหลอกลวงเข้าใจผิด ซึ่งอาจทำได้ 2 วิธี คือ
- แสดงข้อความอันเป็นเท็จ: พูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
- ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง: ไม่เปิดเผยความจริงที่ตนรู้และควรบอกให้ผู้อื่นทราบ
- การได้ไปซึ่งทรัพย์สิน: การหลอกลวงนั้นต้องทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้กระทำ
- เอกสารสิทธิ: การหลอกลวงนั้นทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำเอกสารสิทธิขึ้น เพิกถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
มาตรา 343 ตามประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องกับ “การฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งมีบทลงโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผู้กระทำผิดได้หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แก่ประชาชน
- การกระทำความผิด: เกิดจากการกระทำตามความผิดมาตรา 341 (การฉ้อโกง) แต่กระทำในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อ “ประชาชน” โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แก่ประชาชน
- คำว่า “ประชาชน”: ไม่ได้จำกัดเฉพาะจำนวนผู้เสียหาย แต่เน้นเจตนาที่จะหลอกลวงประชาชนเป็นกลุ่มใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องมีจำนวนผู้เสียหายที่แน่นอน
เพื่อให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงในลักษณะการอ้างของศักดิ์สิทธิ์ ควรพิจารณาให้ดี เช่น :
- ไม่เชื่อเรื่อง “มหัศจรรย์ทันที” เช่น น้ำพุขึ้นเองแล้วรักษาโรคได้ทันที โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
- ตรวจสอบข้อเท็จจริง : ถ้ามีการอ้างว่า “วัตถุศักดิ์สิทธิ์” หรือ “น้ำศักดิ์สิทธิ์” → ควรขอหลักฐาน (เช่น ใครเป็นผู้เปิดเผย, มีการรับรองอย่างไร)
- ระมัดระวังคำพูดหรือการโฆษณาที่เร่งให้ตัดสินใจทันที เช่น “จำกัดจำนวน” “ช้า หมด” “เฉพาะวันนี้”
- อย่าโอนเงินจำนวนมาก หรือซื้อสิ่งที่อ้างว่า “รักษาโรคได้” โดยไม่มีหลักฐานทางการแพทย์
- หากสงสัยว่าเป็นการหลอกลวง → สามารถแจ้งตำรวจ หรือหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
- รู้จักใช้วิจารณญาณ: ความศรัทธาเป็นสิ่งดี แต่เมื่อมีการขอเงิน/ซื้อของโดยอ้าง “ผลลัพธ์แน่นอน” ควรตั้งคำถาม
อ้างอิง : ประมวลกฎหมายอาญา



