ความหมาย:
“กรรมสิทธิ์” หมายถึง สิทธิที่บุคคลมีในทรัพย์สินอย่างสมบูรณ์ตามที่กฎหมายรับรอง ทำให้เจ้าของมีอำนาจที่จะใช้สอย จำหน่าย หรือหวงกันบุคคลอื่นไม่ให้ล่วงละเมิดในทรัพย์นั้นได้ โดยอาศัยบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งบัญญัติว่า “เจ้าของมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตน และมีสิทธิจะได้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น เว้นแต่จะขัดต่อกฎหมายหรือสิทธิของผู้อื่น”
ตามหลักกฎหมาย “กรรมสิทธิ์” จึงเป็นสิทธิที่มีลักษณะครอบคลุมครบทั้ง 3 มิติ คือ
- สิทธิครอบครอง (Possession) – การมีอำนาจในการยึดถือหรือใช้ประโยชน์จากทรัพย์
- สิทธิใช้สอยและได้ประโยชน์ (Use and Enjoyment) – การใช้ประโยชน์จากทรัพย์ เช่น ปลูกบ้าน ปลูกพืช เก็บค่าเช่า
- สิทธิจัดการหรือจำหน่าย (Disposition) – การโอน ขาย ให้ หรือทำลายทรัพย์ได้ตามใจเจ้าของ
ลักษณะสำคัญของกรรมสิทธิ์
- เป็น สิทธิเด็ดขาด (Absolute Right) คือไม่มีใครมาบังคับใช้ร่วมได้ นอกจากตามที่กฎหมายจำกัดไว้
- เป็น สิทธิที่มีผลบังคับต่อบุคคลทั่วไป (Right in rem) หมายถึง บุคคลใดก็ต้องเคารพสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์
ตัวอย่างตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 6941/2560
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันขุดเอาหน้าดินของโจทก์ซึ่งมีสภาพเป็นดินลูกรังไปเพื่อใช้ในการถมก่อสร้างคันกั้นน้ำ และมีคำขอให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันคืนดิน หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคา อันเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์ที่จะเรียกร้องจากผู้เอาทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดซึ่งมีอายุความหนึ่งปีตามมาตรา 448 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ตัวอย่างสถานการณ์:
นายชัยกับนายพรมีที่ดินติดกัน ต่อมานายชัยต้องการขายหน้าดินในที่ดินของตน จึงจ้างรถขุดดินมาทำการขุด ปรากฏว่าได้ขุดล้ำเข้าไปในที่ดินของนายพร เมื่อนายพรทราบจึงแจ้งให้นายชัยนำดินดังกล่าวมาคืน เพราะนายพรเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ ในดินส่วนนั้น นายชัยจึงต้องคืนหรือชดใช้ค่าดินตามสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย
อ้างอิง:
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
🔗 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6941/2560 (กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา)
🔗 เว็บไซต์ศาลฎีกา: deka.supremecourt.or.th



