ตามความเข้าใจของคนทั่วไป คือ ความโกรธซึ่งเป็นอารมณ์ของมนุษย์ และเมื่อเจอกับความไม่พอใจก็แสดงกิริยาอาการโกรธขึ้นมา คำว่า “โกรธ” ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง อาการขุ่นเคืองใจอย่างแรง หรือไม่พอใจอย่างรุนแรง เมื่อบุคคลรู้สึกโกรธ การแสดงออกของความโกรธสามารถแสดงได้หลายรูปแบบ ทั้งทางกาย วาจา และทางอารมณ์
การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ผู้กระทำความผิดจะต้องกระทำความผิดเพราะความโกรธที่มาจากการข่มเหง และต้องกระทำความผิด ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แต่ถ้าการข่มเหงขาดตอนไปแล้ว ควรหมดโทสะได้แล้ว หากไปกระทำผิดต่อผู้นั้นอาจจะเพื่อแก้แค้น ดังนี้ ก็อ้างบันดาลโทสะไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ พฤติกรรมที่ไม่ควรทำเมื่อโกรธ ได้แก่:
หลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
- ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
- การถูกข่มเหงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทำบันดาลโทสะ
- ผู้กระทำได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะบันดาลโทสะ
การข่มเหง หมายถึง รังแก แกล้ง หรือทำให้รู้สึกอับอาย หรือข่มเหงน้ำใจ การข่มเหงเป็นการกระทำของผู้เสียหายเอง และเป็นการกระทำของผู้เสียหายฝ่ายเดียว เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายต้องรับผิดชอบฝ่ายเดียว
การข่มเหงต้องเป็นเรื่องร้ายแรง ซึ่งปัญหาว่าร้ายแรงหรือไม่ ถือตามความรู้สึกของวิญญูชน แม้การกระทำนั้นจะไม่ถึงขนาดกระทำผิดกฎหมายก็ตาม แต่ถ้าวิญญูชน คือ คนทั่วๆไปที่มีฐานะอย่างเดียวกับผู้กระทำผิดมีความรู้สึกโกรธก็ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เช่น สามีหรือภริยามีชู้ สังคมไทยถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง
ตัวอย่าง

การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ ผู้กระทำความผิดจะต้องกระทำความผิดเพราะความโกรธที่มาจากการข่มเหง และต้องกระทำความผิด ต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แต่ถ้าการข่มเหงขาดตอนไปแล้ว ควรหมดโทสะได้แล้ว หากไปกระทำผิดต่อผู้นั้นอาจจะเพื่อแก้แค้น ดังนี้ ก็อ้างบันดาลโทสะไม่ได้
การกระทำความผิดในขณะบันดาลโทสะ แม้จะเกิดจากการถูกยั่วยุหรือถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมาย เพียงแต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการลดโทษให้เบาลงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้
อ้างอิง : ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72



